ช่องว่างแห่งสายใย

 

               ผมพยายามค้นหาคำภาษาไทยที่เป็นความหมายของคำว่า “missing link” จากหลายแหล่งแต่ก็ไม่โปรด ด้วยพยายามจะค้นหาคำที่ไม่เป็นวิชาการนัก แถมยังจะเป็นคำที่ดึงดูดโน้มน้าวให้หนุ่มสาวหันมาอ่านบทความนี้ด้วย ผมก็เลยเลือกใช้คำว่า “ช่องว่างแห่งสายใย”                   
              ชาลส์ โรเบิร์ต ดาร์วิน ผู้เขียนหนังสือเรื่อง ต้นกำเนิดสิ่งมีชีวิตโดยการคัดเลือกของธรรมชาติ (Origin of Species by Means of Natural Selection) และได้รับการตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1859 ได้พลิกโลกพลิกสวรรค์คัดค้านคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ (Holy Bible) ที่ได้รับการเชื่อถือกันมาหลายพันปีโดยชาวยิวและต่อเนื่องมาจนถึงชาวคริสต์และชาวมุสลิมจนถึงปัจจุบัน โดยชาลส์ ดาร์วิน ได้เสนอว่าสิ่งมีชีวิตมีการวิวัฒนาการจากชนิดหนึ่งไปเป็นอีกชนิดหนึ่ง (speciation) อย่างต่อเนื่องจากเริ่มแรกจนถึงปัจจุบันโดยการคัดเลือกของธรรมชาติ แถมชาลส์ ดาร์วิน ยังเสนอด้วยซ้ำไปว่า “มนุษย์มีวิวัฒนาการมาจากลิง” ฟังแล้วขนหัวลุกครับ

 

               ในการจะสนับสนุนทฤษฎีวิวัฒนาการของชาลส์ ดาร์วิน นั้น จำเป็นจะต้องเรียงลำดับสายวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตต่างๆ ให้ได้ ซึ่งในยุคสมัยของชาลส์ ดาร์วินนั้นได้มีการกล่าวขานกันอย่างกว้างขวางว่าไดโนเสาร์ได้วิวัฒนาการไปเป็นนกแต่ก็มีผู้คัดค้านอย่างกว้างขวางเช่นกัน สองปีถัดมาได้มีการค้นพบซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์ประหลาดที่สมบูรณ์ชิ้นหนึ่งที่เหมืองหินแห่งหนึ่งในเยอรมนีซึ่งมีลักษณะที่ก้ำกึ่งระหว่างไดโนเสาร์กับนกพอดี จนมีการกล่าวหากันว่าเป็นการสร้างหลักฐานเท็จเพื่อสนับสนุนทฤษฎีวิวัฒนาการของชาลส์ ดาร์วิน โดยพยายามสร้างหลักฐานเพื่อเติมเต็มช่องว่างแห่งสายใย    อย่างไรก็ตามซากดึกดำบรรพ์ชิ้นนี้ ก็ได้รับการตั้งชื่อว่าอาร์คีออฟเทอริกซ์ (Archaeopteryx lithographica) จนถึงปัจจุบันทฤษฎีวิวัฒนาการถูกยอมรับกันอย่างกว้างขวางและถูกบรรจุไว้ในบทเรียนทางชีววิทยาระดับต่างๆ

 

 

 

 

 

               แต่สิ่งหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์ได้พยายามค้นหาช่องว่างแห่งสายใยกันอย่างเอาเป็นเอาตายก็คือ ช่องว่างสายใยระหว่างอนินทรียสารกับอินทรียสารกันมาช้านาน เพื่อที่จะอุดช่องว่างระหว่างสิ่งไม่มีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตให้ได้

               จนถึงปัจจุบันมหาวิทยาลัยอีโมรี ในสหรัฐอเมริกา  ได้มีการค้นพบว่าโมเลกุลอย่างง่ายของสารเปปไตด์สามารถพัฒนาก่อให้เกิดแผ่นเนื้อเยื่อคู่ขึ้นได้ โดยนักวิทยาศาสตร์สามารถแสดงให้เห็นกระบวนการดังกล่าวได้อย่างสมเวลาจริง (real time) ด้วย และแผ่นเนื้อเยื่อคู่จากสารเปปไทด์ดังกล่าวอาจพัฒนาไปเป็นสารเชิงซ้อนมากขึ้นก็ได้อย่างเช่น โปรตีน งานวิจัยดังกล่าวถือว่าเป็นการวิจัยวิวัฒนาการทางเคมี (chemical evolution) ที่อาจถือได้ว่าเป็นการอุดช่องว่างสายใยแห่งวิวัฒนาการจากสิ่งไม่มีชีวิตไปเป็นสิ่งมีชีวิตก็ได้ถึงจุดนี้ ผมมีคำถามส่วนตัวครับว่า แล้วการวิวัฒนาการจากสิ่งไม่มีชีวิตไปเป็นสิ่งมีชีวิตนั้น ตลอด 4.5 พันล้านปีที่ผ่านมานั้นมันเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวหรือ มันจะเกิดขึ้นเป็นสิบ เป็นร้อย เป็นพัน หรือมากครั้งกว่านี้ไม่ได้หรือ นี่อาจถือเป็นช่องว่างแห่งสายใยอันใหม่ก็ได้ครับ

 

แหล่งข้อมูล
            
1.   http://www.dailygalaxy.com/my_weblog/2010/05/scientist-discover-
                 missing-link- between-organic-and-inorganic-life.html 
            2.  http://www.mhhe.com/biosci/esp/2001_saladin/folder_structure/le/m1/s3/